ระบอบฟาสซิสต์ (ค.ศ. 1922-1943) ของ ราชอาณาจักรอิตาลี

ลัทธิฟาสซิสต์ทะยานขึ้นสู่อำนาจ

เบนิโต มุสโสลินี ผู้นำเผด็จการฟาสซิสต์ นายกรัฐมนตรีระหว่าง ค.ศ. 1922 - 1943

ในปี ค.ศ. 1914 เบนิโต มุสโสลินีถูกขับออกจากพรรคสังคมนิยมอิตาลี หลังจากเรียกขานการเข้าแทรกแซงออสเตรียของรัฐบาลอิตาลีว่าเป็นบทนำสู่สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง มุสโสลินีต่อต้านการเกณฑ์ทหาร, ประท้วงการเข้ายึดครองลิเบีย และยังเป็นบรรณาธิการของหนังสือพิมพ์ประจำพรรคสังคมนิยมนามว่า อวันติ! เมื่อเวลาผ่านไป เขาเรียกร้องการปฏิวัติโดยไม่ได้กล่าวถึงการต่อสู้ทางชนชั้น[71] ด้วยการมีแนวคิดชาตินิยมทำให้เขาสามารถระดมทุนจากอันซัลโด (บริษัทเกี่ยวกับยุทธภัณฑ์) และจากบริษัทอื่นๆ ในการก่อตั้งสำนักหนังสือพิมพ์ อิลปอโปโลดิตาเลีย ของตัวเองขึ้นมาได้ ทำให้เขาสามารถโน้มน้าวนักสังคมนิยมและนักปฏิวัติให้สนับสนุนสงคราม[71] ฝรั่งเศส, สหราชอาณาจักร และรัสเซีย ซึ่งต้องการจะชักนำอิตาลีเข้าสู่กลุ่มไตรภาคี จึงได้ให้การสนับสนุนทางการเงินแก่หนังสือพืมพ์ฉบับนี้[72] ในปีต่อมาหนังสือพิมพ์ก็ได้กลายมาเป็นผู้สนับสนุนระบอบฟาสซิสต์อย่างเป็นทางการ ต่อมามุสโสลินีเข้าร่วมกองทัพอิตาลีและได้รับบาดเจ็บในช่วงของสงคราม ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นบาดแผลที่ได้มาจากการฝึกใช้ระเบิดมือ แต่เขาก็ปฏิเสธโดยอ้างว่าได้รับบาดเจ็บในสมรภูมิรบ[71]

เบนิโต มุสโสลินีและฟาสซิสต์ชุดดำในปี ค.ศ. 1920

ตามมาด้วยการสิ้นสุดลงของสงครามโลกครั้งที่หนึ่งและสนธิสัญญาแวร์ซายในปี ค.ศ. 1919 มุสโสลินีจัดตั้ง ฟาสซิดิกอมบาตติเมนโต หรือสันนิบาตการต่อสู้ มีแกนนำการจัดตั้งเป็นกลุ่มนักสังคมนิยมแนวชาตินิยมและกลุ่มทหารผ่านศึกผู้ต่อต้านกลุ่มนิยมสันติวิธีในพรรสังคมนิยมอิตาลี ฟาสซิสต์เริ่มมีจุดยืนเป็นของตัวเองแทนที่จะโน้มเอียงไปทางฝ่ายซ้ายแบบที่เป็นมา, ให้สัญญาถึงการปฏิวัติ, ปฏิรูปสัดส่วนผู้แทน, ให้สิทธิ์เลือกตั้งแก่สตรี (ถูกพิจารณาในช่วงปี ค.ศ. 1925) และแยกแยะทรัพย์สินเอกชนที่ครอบครองโดยรัฐ[73][74]

ในวันที่ 15 เมษายน ค.ศ. 1919 ฟาสซิสต์เริ่มต้นการทำงานด้วยความรุนแรงทางการเมือง เมื่อกลุ่มสมาชิกจากสันนิบาตการต่อสู้เข้าโจมตีสำนักงานของหนังสือพิมพ์อวันติ! จากความล้มเหลวในนโยบายแนวปฏิวัติและแนวฝ่ายซ้ายในช่วงเริ่มแรกของฟาสซิสต์ มุสโสลินีจึงชักนำกลุ่มนี้ออกจากแนวคิดฝ่ายซ้ายและเปลี่ยนจากกลุ่มเคลื่อนไหวเพื่อการปฏิวัติเป็นกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมืองในปี ค.ศ. 1921 โดยมีชื่อว่า ปาร์ติโตนาซิโอนาเลฟาสซิสตา (พรรคฟาสซิสต์แห่งชาติ) พรรคลอกเลียนแบบแนวคิดทางการเมืองของกาเบรียล ดานันซิโอ และปฏิเสธระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา ขณะเดียวกันก็ดำเนินงานภายใต้ระบอบนี้เพื่อทำลายตัวระบอบเองในที่สุด มุสโสลินียังเปลี่ยนนโยบายแนวปฏิวัติในตอนต้นของเขาด้วย เช่น การถอยห่างออกจากแนวคิดต่อต้านศาสนจักรมาเป็นสนับสนุนคริสตจักรคาทอลิก และยังล้มเลิกแนวคิดต่อต้านระบอบกษัตริย์ในที่สาธารณะของเขาเอง[75] เสียงสนับสนุนฟาสซิสต์และเหตุความรุนแรงเริ่มขยายตัวในปี ค.ศ. 1921 ขณะที่เจ้าหน้าที่ทหารในกองทัพผู้สนับสนุนฟาสซิสต์เริ่มนำเอาอาวุธและพาหนะของราชการมาใช้ในการโจมตีฝ่ายสังคมนิยม[76]

ในปี ค.ศ. 1920 โจลิตตีกลับเข้ามาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกครั้งเพื่อแก้ไขภาวะชะงักงันของประเทศ หนึ่งปีต่อมารัฐบาลของโจลิตตีก็ระส่ำระส่ายและฝ่ายสังคมนิยมที่กำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ก็ส่งสัญญาณอันตรายแก่รัฐบาลของเขา โจลิตตีเชื่อว่าฟาสซิสต์สามารถอ่อนท่าทีลงและสามารถปกป้องรัฐจากฝ่ายสังคมนิยมได้ เขาจึงตัดสินใจรวมเอาฝ่ายฟาสซิสต์เข้าร่วมเลือกตั้งในปี ค.ศ. 1921[75] ในการเลือกตั้ง ฟาสซิสต์ไม่ได้รับเลือกมากนักและรัฐบาลของโจลิตตีก็ล้มเหลวในการมีเสียงข้างมากเพื่อจัดตั้งรัฐบาลผสม การมอบตำแหน่งในรัฐบาลแก่พวกฟาสซิสต์จึงไม่เกิดขึ้น จนทำให้ฝ่ายฟาสซิสต์ปฏิเสธการเข้าร่วมกับโจลิตตีและหันไปร่วมกับฝ่ายสังคมนิยมในการโค่นล้มรัฐบาลของเขา[77] กลุ่มผู้ที่เคยร่วมการปฏิวัติของการีบัลดีในช่วงการรวมชาติมีชัยชนะเหนือแนวคิดแบบชาตินิยมของมุสโสลินี[78] การกล่าวสนับสนุนแนวความคิดบรรษัทนิยมและอนาคตนิยมของเขาได้ชักนำให้ผู้คนเข้าร่วม ทางที่สาม[79] แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือการที่เขามีชัยชนะเหนือนักการเมืองคนสำคัญอย่างลุยจิ ฟักตา หรือโจวันนี โจลิตตี ผู้ที่ซึ่งไม่ได้ประณามเขาในการที่กลุ่มฟาสซิสต์ชุดดำทำทารุณกรรมฝ่ายสังคมนิยม[80]

ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1922 มุสโสลินีได้ฉวยโอกาสจากการชุมนุมประจำปีของชนชั้นแรงงานในอิตาลี ประกาศข้อเรียกร้องต่อรัฐบาลอิตาลีในการให้อำนาจทางการเมืองแก่พรรคฟาสซิสต์ มิเช่นนั้นจะต้องพบกับการทำรัฐประหาร และด้วยการที่รัฐบาลไม่มีการตอบรับคำเรียกร้องในทันที ฟาสซิสต์กลุ่มเล็กๆ จึงเริ่มทำการเดินขบวนทั่วประเทศมุ่งสู่กรุงโรมที่ต่อมารู้จักกันในชื่อว่า การเดินขบวนสู่โรม แล้วกล่าวอ้างกับประชาชนว่าขบวนการฟาสซิสต์กำลังพยายามฟื้นฟูความสงบเรียบร้อยในประเทศขึ้นมาอีกครั้ง ซึ่งตัวมุสโสลินีเองไม่ได้เข้าร่วมการเดินขบวนจนกระทั่งถึงช่วงท้ายของการเดินขบวนจึงตัดสินใจเข้าร่วม ในขณะที่ดานันซิโอถูกสรรเสริญให้เป็นผู้นำของการเดินขบวนซึ่งต่อมาเข้าต้องพบกับการลอบสังหารที่ล้มเหลวด้วยการถูกผลักออกมาจากหน้าต่างอาคารจนได้รับบาดเจ็บสาหัส ความเป็นไปได้ที่เขาจะนำการรัฐประหารที่แท้จริงด้วยกลุ่มมวลชนซึ่งถูกจัดตั้งโดยตัวดานันซิโอเองเป็นอันต้องสิ้นสุดลง ฟาสซิสต์ภายใต้การนำของมุสโสลินีก็ได้เรียกร้องต่อนายกรัฐมนตรีลุยจิ ฟักตา ให้ลาออกจากตำแหน่งแล้วเสนอชื่อเขาขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีแทน แม้ว่ากองทัพราชอาณาจักรอิตาลีจะมีแสนยานุภาพซึ่งกองกำลังขนาดเล็กของฟาสซิสต์ไม่สามารถเทียบเคียงได้ แต่รัฐบาลภายใต้รัชสมัยพระเจ้าวิคเตอร์ เอ็มมานูเอลที่ 3 ก็ต้องเผชิญกับวิกฤตการณ์ทางการเมือง พระมหากษัตริย์ทรงถูกกดดันให้ตัดสินพระทัยเลือกฝ่ายทางการเมืองระหว่างฝ่ายฟาสซิสต์ของมุสโสลินีกับฝ่ายต่อต้านระบอบกษัตริย์อย่างพรรคสังคมนิยมอิตาลี ซึ่งพระองค์ก็ได้ตัดสินพระทัยเลือกฝ่ายฟาสซิสต์ของมุสโสลินี

ในวันที่ 8 ตุลาคม ค.ศ. 1922 พระเจ้าวิคเตอร์ เอ็มมานูเอลที่ 3 โปรดเกล้าให้เบนิโต มุสโสลินี ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีแห่งอิตาลีและเปิดโอกาสให้พรรคฟาสซิสต์ได้มีโอกาสแสวงหาเป้าหมายทางการเมืองตราบเท่าที่พรรคยังคงสนับสนุนสถาบันพระมหากษัตริย์และคำนึงถึงผลประโยชน์ของสถาบัน หากเปรียบเทียบกับอดีตนายกรัฐมนตรีของอิตาลีหลายคนและผู้นำของประเทศต่างๆ ในโลกขณะนั้น จะถือได้ว่ามุสโสลินีเป็นผู้นำที่มีอายุน้อยมากด้วยวัย 39 ปี ณ ช่วงที่ขึ้นดำรงตำแหน่ง มุสโสลินีถูกเรียกขานจากผู้สนับสนุนของเขาว่า อิลดูเช หรือ ท่านผู้นำ และคำเรียกขานนี้ก็ถูกใช้เป็นชื่อยศศักดิ์อย่างไม่เป็นทางการซึ่งถูกใช้กันโดยทั่วไปในการอธิบายถึงตำแหน่งที่เขาดำรงอยู่ช่วงสมัยฟาสซิสต์เรืองอำนาจ ในช่วงนี้เองด้วยที่ความเชื่อเกี่ยวกับบุคลิกภาพของมุสโสลินีวาดฝันให้ตัวเขาว่าเป็นผู้กอบกู้ชาติ และได้รับแรงสนับสนุนจากความนิยมบุคลิกภาพของตัวมุสโสลินีในหมู่ประชาชนชาวอิตาลี ซึ่งจะยังคงได้รับความนิยมอย่างล้นหลามจากสาธารณชนก่อนที่จะไปเสื่อมลงในช่วงที่อิตาลีเผชิญกับความล้มเหลวทางการทหารอย่างต่อเนื่องในสงครามโลกครั้งที่สอง

หลังจากก้าวขึ้นสู่อำนาจ มุสโสลินีแต่งตั้งคณะนิติบัญญัติร่วมระหว่างนักชาตินิยม, นักเสรีนิยม และนักประชานิยมขึ้น อย่างไรก็ตามความปรารถนาดีของพรรคฟาสซิสต์ต่อระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภาก็เสื่อมจางลงอย่างรวดเร็ว คณะนิติบัญญัติร่วมของเขาผ่านร่างกฎหมายเกี่ยวกับการเลือกตั้งในปี ค.ศ. 1923 ซึ่งให้ที่นั่งสองในสามของรัฐสภาแก่พรรคเดี่ยวหรือพรรคร่วมใดก็ตามที่สามารถมีคะแนนเสียงเกินร้อยละ 25 ของจำนวนคะแนนเสียงทั้งหมด พรรคฟาสซิสต์ใช้ความรุนแรงและการข่มขู่เพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายคะแนนเสียงร้อยละ 25 นั้นในการเลือกตั้งปี ค.ศ. 1924 ฟาสซิสต์จึงกลายมาเป็นพรรคการเมืองที่ปกครองอิตาลีในเวลาต่อมา

หลังจากการเลือกตั้งสิ้นสุดลง รองหัวหน้าพรรคสังคมนิยม จีอาโกโม มัตเต-ออตติ ถูกลอบสังหารหลังจากเรียกร้องให้มีการประกาศโมฆะกรรมต่อการเลือกตั้งครั้งนี้เนื่องจากพบความผิดปกติหลายอย่าง ทำให้นักสังคมนิยมเดินออกจากรัฐสภา ส่งผลให้มุสโสลินีสามารถผ่านกฎหมายซึ่งเพิ่มอำนาจของเขาได้อีกหลายฉบับ ในปี ค.ศ. 1925 มุสโสลินีประกาศความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ความรุนแรงของฟาสซิสต์ในปี ค.ศ. 1924 และให้สัญญาว่าผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องต่อเหตุการณ์จะได้รับบทลงโทษอย่างรุนแรง ซึ่งก่อนที่จะมีสุนทรพจน์นี้ออกไป กลุ่มฟาสซิสต์ชุดดำได้กระทำการโจมตีทำร้ายฝ่ายตรงข้ามมุสโสลินีหลายกลุ่ม ทำให้เหตุการณ์ครั้งนี้ถูกพิจารณาว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการใช้อำนาจเบ็ดเสร็จนิยมอย่างเปิดเผยโดยพรรคฟาสซิสต์ในอิตาลี ซึ่งเป็นช่วงเวลาก่อนปี ค.ศ. 1928 ที่พรรคฟาสซิสต์ถูกรับรองอย่างเป็นทางการถึงสถานะพรรคการเมืองอันถูกต้องตามกฎหมายพรรคเดียวของประเทศ

ช่วงเวลาสี่ปีต่อมา มุสโสลินีทำการริดรอนอำนาจตรวจสอบและอำนาจถ่วงดุลให้แทบจะหมดสิ้นไป ในปี ค.ศ. 1926 เขาได้ผ่านร่างกฎหมายประกาศว่าเขามีความรับผิดชอบต่อองค์พระมหากษัตริย์แต่เพียงผู้เดียวและทำให้เขาเป็นบุคคลเดียวที่สามารถกำหนดวาระการประชุมของรัฐสภาได้ การปกครองตนเองของแต่ละท้องถิ่นถูกยกเลิก เขาแต่งตั้งตำแหน่งพิเศษขึ้นแทนตำแหน่งนายกเทศมนตรีและแทนที่อำนาจของเทศบาลชุมชนต่างๆ ไม่นานหลังจากที่เขาทำการเพิกถอนพรรคการเมืองอื่นจนหมดสิ้น ในปี ค.ศ. 1928 การเลือกตั้งตามระบบรัฐสภาก็ถูกแทนที่ด้วยการออกเสียงลงคะแนนโดยประชาชนทั้งมวลที่ซึ่งรายชื่อผู้สมัครถูกกำหนดโดยสภาแห่งชาติของมุสโสลินี

ผลจากการที่มุสโสลินีเข้ายึดอำนาจในรัฐบาลอย่างเบ็ดเสร็จก่อให้เกิดระบบ ทวยาธิปไตย[81] (Diarchy) ในอิตาลี ทำให้เขาได้ครอบครองอำนาจมากมายทางการเมือง ซึ่งในทางปฏิบัติแล้วสามารถเรียกได้ว่ามุสโสลินีคือประมุขของอิตาลี ในขณะที่พระมหากษัตริย์ก็ยังคงดำรงพระราชอำนาจและพระอิสริยยศเป็นประมุขแห่งรัฐเช่นเดิม พระองค์ยังคงพระราชอำนาจในการถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีซึ่งต้องได้รับการถวายคำแนะนำจากสภาแห่งชาติเสียก่อน และสภาแห่งชาตินี้เองที่อย่างน้อยก็ในทางทฤษฎีถือว่าเป็นอำนาจตรวจสอบเดียวที่ยังคงหลงเหลืออยู่

วัฒนธรรมและสังคม

เมื่อพรรคฟาสซิสต์กำลังเข้าสู่อำนาจ ฟาสซิสต์ได้เริ่มทำการแทรกซึมแนวคิดของตนเข้าไปสู่ทุกแง่มุมในชีวิตประจำวันของชาวอิตาลี เพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายให้อิตาลีกลายมาเป็นประเทศที่มีพรรคการเมืองเดียวได้สำเร็จ ซึ่งการทำให้อิตาลีเป็นรัฐประชาธิปไตยรวบอำนาจเบ็ดเสร็จก็ได้ถูกประกาศไว้ใน หลักแห่งฟาสซิสต์ (Doctrine of Fascism) ในปี ค.ศ. 1935

แนวคิดของฟาสซิสต์ต่อรัฐคือการโอบล้อมไว้ทั้งมวล; นอกเหนือไปจากแนวคิดนี้ไม่มีมนุษย์หรือคุณค่าทางจิตวิญญาณใดสามารถจะดำรงอยู่ได้, นับประสาอย่างไรกับการมีคุณค่าในตัวเอง เมื่อเข้าใจดังนั้นแล้ว ลัทธิฟาสซิสต์ก็คือประชาธิปไตยรวบอำนาจเบ็ดเสร็จ และรัฐฟาสซิสต์ซึ่งเป็นการสังเคราะห์และการรวมหน่วยของคุณค่าทั้งมวล ก็ได้ทำการตีความ, พัฒนา และเสริมคุณบารมีแก่ทั้งชีวิตของผู้คน

— หลักแห่งฟาสซิสต์ ค.ศ. 1935[82]

ด้วยแนวคิดของประชาธิปไตยรวบอำนาจเบ็ดเสร็จ มุสโสลินีและพรรคฟาสซิสต์ก็ได้ทำการก่อตั้งหน่วยงานที่จะพัฒนาวัฒนธรรมและสังคมของอิตาลี โดยยึดเอาจักรวรรดิโรมัน, เผด็จการส่วนบุคคล รวมถึงมุมมองอันล้ำหน้าของปัญญาชนและศิลปินอิตาลีบางส่วนเป็นแบบอย่าง[83]

ภายได้ระบอบฟาสซิสต์ คำจำกัดความของสัญชาติอิตาลีตั้งอยู่บนพื้นฐานของลัทธิเผด็จการทหารนิยมและแนวคิด "มนุษย์ใหม่" ของฟาสซิสต์ ซึ่งการจะเป็นชาวอิตาลีผู้จงรักภักดีจำเป็นต้องละทิ้งความคิดแบบปัจเจกนิยมและแนวคิดนิยมเสรีภาพ ชาวอิตาลีจำเป็นต้องมองว่าตนเป็นอนูหนึ่งที่ประกอบกันเป็นชาติอิตาลีและมีความปิติยินดีที่จะสละชีพเพื่อบ้านเกิดของตน[84] และภายใต้สังคมรวบอำนาจเบ็ดเสร็จนี้เองที่ประชาชนผู้นิยมฟาสซิสต์เท่านั้นจะถูกพิจารณาว่าเป็น "ชาวอิตาลีที่แท้จริง" นอกจากนี้แล้วการเข้าร่วมเป็นสมาชิกพรรคฟาสซิสต์และการรับรองจากพรรคมีความจำเป็นอย่างมากสำหรับประชาชนผู้ที่ต้องการได้รับ "สิทธิความเป็นพลเมืองโดยสมบูรณ์" ส่วนผู้ที่ไม่ได้สาบานตนว่าจะจงรักภักดีพรรคฟาสซิสต์ก็จะถูกจำกัดกีดกันในทางสาธารณะ อีกทั้งยังไม่สามารถเข้าทำงานหรือถูกว่าจ้างทำงานได้ด้วย[85] แม้แต่ชาวอิตาลีที่อาศัยอยู่ต่างแดนเองก็ถูกทางการฟาสซิสต์เข้าไปข้องเกี่ยวด้วยการบังคับให้ถูกรับรองสถานภาพและภูมิลำเนากับทางรัฐบาลอิตาลีแทนการรับรองจากทางการของท้องถิ่นที่ชาวอิตาลีผู้นั้นอาศัยอยู่[86] ทั้งที่มีความพยายามในการปลุกปั้นวัฒนธรรมแบบใหม่ของฟาสซิสต์แก่อิตาลี แต่ความพยายามในการสร้างวัฒนธรรมใหม่ดังกล่าวกับไม่ประสบความสำเร็จและส่งผลกระทบรุนแรงเท่าที่ควรเมื่อเทียบกับประเทศที่ปกครองด้วยพรรคการเมืองเดียวอื่นๆ เช่น นาซีเยอรมนี หรือสหภาพโซเวียต[87]

อิตาลีสมัยฟาสซิสต์ฉายภาพให้มุสโสลินีเป็นดังผู้กอบกู้ประเทศชาติ พรรคฟาสซิสต์พยายามให้ทั่วทุกหนแห่งในสังคมมีแต่เขาทั้งในที่สาธารณะและในโฆษณาชวนเชื่อ ภาพพจน์ของอิตาลีในแบบฉบับฟาสซิสต์ส่วนมากมีพื้นฐานมาจากบุคลิกลักษณะในตัวของมุสโสลินี คำปราศัยอันน่าหลงใหลและบุคลิกภาพของมุสโสลินีถูกเผยแพร่ ณ การเดินขบวนสู่โรมของกลุ่มฟาสซิสต์ชุดดำ ซึ่งส่งผลให้เกิดแรงบันดาลใจต่ออดอล์ฟ ฮิตเลอร์และพรรคนาซีในเยอรมนี

โฆษณาชวนเชื่อของฟาสซิสต์ปรากฏอยู่ในภาพยนตร์ข่าว, วิทยุกระจายเสียง และภาพยนตร์สารคดีไม่กี่เรื่องที่จงใจสนับสนุนแนวคิดของฟาสซิสต์ ในปี ค.ศ. 1926 มีการบัญญัติกฎหมายที่ระบุให้ภาพยนตร์ข่าวแนวชวนเชื่อนี้ถูกฉายก่อนภาพยนตร์อื่นใดในโรงภาพยนตร์[88] ภาพยนตร์ข่าวเหล่านี้ส่งอิทธิพลต่อสาธารณชนอิตาลีได้มากกว่าโฆษณาชวนเชื่อหรือวิทยุ เพราะในขณะนั้นชาวอิตาลีไม่กี่ครอบครัวมีเครื่องรับวิทยุไว้ในครอบครอง[88] ทั้งนี้โฆษณาชวนเชื่อของฟาสซิสต์ถูกเผยแพร่อย่างกว้างขวางตามภาพโปสเตอร์และในงานศิลปะที่รัฐบาลให้การหนุนหลังอยู่ ในขณะที่วงการศิลปะและวรรณกรรมกลับไม่ได้ถูกควบคุมอย่างเข้มงวดนัก ยกเว้นในกรณีที่ผลงานของศิลปินจงใจต่อต้านรัฐบาลอย่างเปิดเผยเท่านั้นจึงจะถูกตรวจตราและปิดกั้น

คริสตจักรคาทอลิก

สมเด็จพระสันตะปาปาปิอุสที่ 11 ผู้ทรงออกประกาศ นอนอับบียาโมบีโซโญ ในปี ค.ศ. 1931

ทั้งที่ก่อนหน้านี้ฟาสซิสต์มีการต่อต้านคริสตจักร แต่ความสัมพันธ์กับคริสตจักรโรมันคาทอลิกพัฒนาขึ้นอย่างมากในช่วงที่มุสโสลินีอยู่ในอำนาจ ในปี ค.ศ. 1922 มุสโสลินีประกาศเป็นพันธมิตรกับผู้สนับสนุนคริสจักรอย่างพรรค ปาร์ติโตปอโปลาเรอิตาเลียโน (Partito Popolare Italiano) หรือพรรคประชาชนอิตาลี ในปี ค.ศ. 1929 มุสโสลินีกับพระสันตะปาปาได้ทำข้อตกลงร่วมกันเพื่อยุติความขัดแย้งซึ่งย้อมกลับไปตั้งแต่ช่วง ค.ศ. 1860 และได้ให้อิสระแกคริสตจักรออกจากการควบคุมของรัฐบาลอิตาลี รัฐบาลสมัยนายกรัฐมนตรีออร์ลันโดได้เริ่มกระบวนการปรองดองนี้ในช่วงสงครามโลก และพระสันตะปาปาสานต่อกระบวนการนี้ด้วยการตัดสัมพันธืกับพรรคคริสเตียนประชาธิปัตย์ในปี ค.ศ. 1922[89] แม้ว่ามุสโสลินีและผู้นำพรรคฟาสซิสต์หลายคนจะเป็นพวกไม่เชื่อในพระเจ้า แต่พวกเขาก็ตระหนักถึงโอกาสอันดีในการกระชับความสัมพันธ์กับศาสนจักรซึ่งมีผู้นับถืออยู่อย่างกว้างขวาง[90]

สนธิสัญญาลาเตรันในปี ค.ศ. 1929 เป็นสนธิสัญญาที่รับรองอธิปไตยของรัฐวาติกันในกรุงโรม ซึ่งอนุญาตให้รัฐวาติกันได้รับเอกราชของตนและสถานภาพทางการทูตในเวทีโลก และต่อมาได้ทำความตกลงระหว่างสันตะปาปากับรัฐบาลในปีเดียวกัน เนื้อหาในความตกลงดังกล่าวคือการประกาศให้ราชอาณาจักรอิตาลีมีศาสนาประจำชาติเพียงศาสนาเดียวคือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก (แม้ว่าจะยินยอมให้ศาสนาอื่นมีอยู่ได้ต่อไปก็ตาม), การมีเงินเดือนประจำให้สำหรับนักบวชและบิชอปในคริสต์ศาสนา, รับรองพิธีสมรสทางศาสนาโดยที่คู่สมรสจะต้องผ่านกระบวนการทางแพ่งมาก่อน และการนำหลักศาสนาคริสต์ไปใช้สอนตามโรงเรียนรัฐทั่วประเทศ แลกกับการที่เหล่านักบวชแห่งคริสตจักรโรมันคาทอลิกสาบานตนเป็นพันธมิตรกับรัฐอิตาลี ซึ่งมีอำนาจการยับยั้งเหนือการตัดสินใจของพวกตน ในข้อตกลงฉบับที่สามมีเนื้อหาเกี่ยวกับการที่รัฐจะต้องจ่ายเงินเป็นจำนวน 1750 ล้านลีรา (ประมาณ 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) แก่วาติกัน เพื่อเป็นสินไหมทดแทนการที่รัฐเข้ายึดครองทรัพย์สินของทางวาติกันมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1860 แม้ว่าทางคริสตจักรจะไม่ได้สร้างภาระผูกพันในความเป็นพันธมิตรกับคณะฟาสซิสต์อย่างเป็นทางการ และแนวความคิดระหว่างทั้งสองฝ่ายเองก็ยังคงมีความแตกต่างอยู่มาก แต่ต่อมาความเป็นปฏิปักษ์ระหว่างกันในอดีตก็มลายหายไปหมดสิ้น คริสตจักรชื่นชมนโยบายการต่างประเทศของฟาสซิสต์เป็นการเฉพาะ สืบเนื่องมาจากการที่ฟาสซิสต์เข้าแทรกแซงสงครามกลางเมืองสเปนและสนับสนุนฝ่ายต่อต้านคอมมิวนิสต์ในสงคราม รวมไปถึงนโยบายการบุกยึดครองเอธิโอเปียอีกด้วย ในขณะเดียวกันแรงเสียดทานระหว่างทั้งสองฝ่ายก็ยังมีปรากฏอยู่ให้เห็น จากการที่มุสโสลินีเห็นว่าควรยุบรวมเอาเครือข่ายยุวชนชาวคริสต์ของทางคริสตจักรมารวมกับกลุ่มยุวชนฟาสซิสต์ของเขาเอง[91] ในปี ค.ศ. 1931 สมเด็จพระสันตะปาปาปิอุสที่ 11 ได้ทรงออกประกาศ นอนอับบียาโมบีโซโญ (Non Abbiamo Bisogno; เราไม่มีความต้องการ) ที่ประณามการประหัตประหารชาวคริสต์ในอิตาลีของฟาสซิสต์และประณามฟาสซิสต์ว่าเป็น "พวกนอกศาสนาของประเทศ"[92]

การออกเสียงลงคะแนนโดยประชาชนทั่วประเทศถูกจัดขึ้นในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1929 เพื่อรับรองความชอบธรรมของสนธิสัญญา ฝ่ายต่อต้านสนธิสัญญาฉบับนี้ถูกข่มขู่โดยทางการฟาสซิสต์ พรรคกิจคาทอลิก (อะซิโอนกัตโตลิกา; Azione Cattolica) แนะนำชาวคริสต์ในประเทศให้ลงคะแนนเสียงกับผู้สมัครพรรคฟาสซิสต์เพื่อจะได้เป็นตัวแทนในโบสถ์ แต่มุสโสลินีกลับกล่าวว่าไม่มีการลงคะแนนเช่นนั้น และกล่าวว่าถึงกลุ่มดังกล่าว่าเป็น "... พวกโฆษณาชวนเชื่ออย่างผิดกฎหมายผู้ต่อต้านสนธิสัญญาลาเตรันส่วนน้อย"[93] ต่อมาผลการออกเสียงปรากฏว่ามีผู้ลงคะแนนเสียงสนับสนุนเกือบ 9 ล้านเสียงหรือคิดเป็นร้อยละ 90 ของผู้ลงคะแนนเสียงทั้งหมด และมีเพียง 136,000 เสียงที่ลงคะแนนไม่สนับสนุน[94] ทำให้สนธิสัญญาลาเตรันยังคงมีผลมาจนถึงปัจจุบัน

เทคโนโลยีและความทันสมัย

ในปี ค.ศ. 1933 อิตาลีประสบความสำเร็จทางเทคโนโลยีมากมาย รัฐบาลฟาสซิสต์สนับสนุนงบประมาณจำนวนมากกับโครงการทางเทคโนโลยี เช่น การต่อเรือสำราญ เอสเอสเรกซ์ ซึ่งสามารถแล่นข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกได้ภายในเวลาแค่สี่วัน[95] เช่นเดียวกับการให้ทุนสนับสนุนโครงการพัฒนาเครื่องบินทะเล มากิ เอ็ม.ซี. 72 ซึ่งกลายมาเป็นเครื่องบินทะเลที่เร็วที่สุดในโลกในปี ค.ศ. 1933 และยังคงรักษาชื่อเสียงได้จนถึงปี ค.ศ. 1934 สมาชิกรัฐบาลฟาสซิสต์นามว่า อิตาโล บัลโบ ผู้ซึ่งเป็นนักบินด้วย ได้ทำการขับเรือเหอะข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกไปยังนครชิคาโกในการแสดงนิทรรศการนานาชาติที่มีชื่อว่าศตวรรษแห่งความก้าวหน้า เที่ยวบินในครั้งนี้เป็นเที่ยวบินเชิงสัญลักษณ์ถึงความเป็นผู้นำในด้านเทคโนโลยีและความก้าวหน้าทางอุตสาหกรรมของอิตาลีที่เกิดขึ้นภายใต้รัฐบาลฟาสซิสต์

การต่อต้านชาวยิว

ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้

การศึกษา

ในปี ค.ศ.1945 อัตราการไม่รู้หนังสือของประชาชนลดลงเหลือไม่ถึงร้อยละ 10 ของทั่วประเทศ จากเดิมทีมีประมาณร้อยละ 25

สวัสดิการสังคม

ฟาสซิสต์อิตาลีประสบความสำเร็จในนโยบายด้านสังคมอย่างมากจากโครงการ โอเป-รานาซิโอนาเลโดโปลาโวโร (อิตาลี: Opera Nazionale Dopolavoro; OND; โครงการหลังเลิกงานแห่งชาติ) ในปี ค.ศ. 1925 ซึ่งโอเอ็นดีเป็นองค์กรรัฐเพื่อการพักผ่อนหย่อนใจของผู้ใหญ่ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด[96] โดโปลาโวโรได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม ถึงขนาดในช่วงคริสต์ทศวรรษที่ 1930 ทุกเมืองในอิตาลีมีสโมสรโดโปลาโวโร นอกจากนี้โดโปลาโวโรยังรับผิดชอบการก่อตั้งและดูแลรักษากีฬาสถาน 11,000 แห่ง, ห้องสมุด 6,400 แห่ง, โรงหนัง 800 โรง, โรงละคร 1,200 หลัง และโรงอุปรากรมากกว่า 2,000 โรง[96] ถึงแม้ว่าสมาชิกในโดโปลาโวโรจะเป็นอาสาสมัคร แต่ก็มีส่วนร่วมสูงเนื่องจากเป็นองค์กรที่ปราศจากวาระทางการเมืองแอบแฝง[96] ต่อมาในช่วงคริสต์ทศวรรษที่ 1930 ภายใต้การนำของอชิลล์ สตาเรซ โอเอ็นดีหันมาให้ความสำคัญกับกิจการพักผ่อนหย่อนใจ, กีฬา และกิจกรรมนอกสถานที่มากขึ้น ในปี ค.ศ. 1936 ประมาณการณ์กันว่ากว่าร้อยละ 80 ของแรงงานเงินเดือนประจำอยู่ภายใต้การดูแบของโอเอ็นดี[97] เกือบร้อยละ 40 ของแรงงานอุตสาหกรรมถูกเกณฑ์เข้าโดโปลาโวโร และในปี ค.ศ. 1939 โอเอ็นดีมีเป็นองค์กรของฟาสซิสต์ที่มีจำนวนสมาชิกมากที่สุดในอิตาลี[98] จากความสำเร็จอย่างมหาศาลของโดโปลาโวโรนี้เองทำให้นาซีเยอรมันก่อตั้งโดโปลาโวโรของตัวเองขึ้นมา ซึ่งก็คือ คราฟต์โดยช์ฟรอยเดอ (เยอรมัน: Kraft durch Freude; KdF; ความแข็งแกร่งผ่านความรื่นเริง) ซึ่งประสบความสำเร็จยิ่งกว่าโดโปลาโวโรเสียอีก[99]

เศรษฐกิจ

ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้

สิทธิสตรี

รัฐบาลฟาสซิสต์ให้ความสนใจกับบทบาทของสตรีทั้งจากชนชั้นสูง, แรงงานอุตสหกรรม[100] และเกษตรกร[101] ผู้นำฟาสซิสต์หลายคนพยายามที่จะ "ช่วยชีวิต" ผู้หญิงซึ่งมีประสบการณ์จากการปลดปล่อยทาส ดังเช่นที่พวกเขาป่าวประกาศถึงการถือกำเนิดขึ้นของ "สตรีอิตาลีใหม่" (นัววาอิตาเลียนา)[102] นโยบายนี้เผยให้เห็นถึงความขัดแย้งลึกๆ ระหว่างอำนาจสมัยใหม่กับอำนาจประเพณีนิยมโบราณ ในขณะที่คริสตจักรคาทอลิก, ฟาสซิสต์ และแบบอย่างความประพฤติทางการค้า ต่างแข่งขันกันชักจูงแนวคิดของสตรีต่อบทบาทและสังคมของพวกเธอในระดับมหภาค ฟาสซิสต์เฉลิมฉลองกับการเมืองแบบ "บุรุษนิยม" รุนแรงและโอ่อวดความเป็นลูกผู้ชายของตน ในขณะเดียวกันยังจัดเก็บภาษีกับบุรุษผู้ที่ยังไม่ได้แต่งงานเพื่อนำไปสนับสนุนงบประมาณด้านการสังคมสงเคราะห์เด็ก การเข้ารุกรานเอธิโอเปียและการคว่ำบาตรจากสันนิบาตชาติส่งผลกระทบต่อแนวนโยบายภายในพรรคฟาสซิสต์ที่มีต่อสตรี จักรวรรดิและการเสียสละของสตรีต่อประเทศชาติกลายมาเป็นแนวคิดหลักในโฆษณาชวนเชื่อของฟาสซิสต์ สตรีภายในพรรคถูกรวมกลุ่มสำหรับเป้าประสงค์ของจักรวรรดิทั้งในฐานะผู้ผลิตและผู้บริโภคและให้บทบาทใหม่ต่อประเทศชาติแก่พวกเธอ กลุ่มสตรีฟาสซิสต์ขยายการทำงานของพวกเธอไปยังเป้าหมายใหม่ๆ เช่น การจัดชั้นเรียนชี้ให้เห็นถึงความเปล่าประโยชน์ของงานบ้าน เด็กหญิงชาวอิตาลีถูกเตรียมพร้อมสำหรับอิตาลี "ในอุดมคติ" ผ่านชั้นเรียนพิเศษต่างๆ เพื่อให้พวกเธอเพียบพร้อมสำหรับการเป็นภรรยาชาวอาณานิคม[103]

รัฐบาลพยายามบรรลุให้ถึง "อำนาจอธิปไตยทางอาหาร" หรือการพึ่งพาตนเองอย่างสมบูรณ์ในด้านพืชพรรณธัญญาหาร นโยบายใหม่ซึ่งเป็นที่โต้เถียงอย่างมากในหมู่ประชาชนผู้ให้ความสนใจเป็นอย่างมากต่ออาหารการกินของพวกเขา เป้าหมายก็คือลดการนำเข้า, ส่งเสริมการเกษตรอิตาลี และสนับสนุนการลดอาหารอย่างเคร่งครัดทั้ง ขนมปัง, พอเลนตา, พาสตา, อาหารสด และไวน์ กลุ่มสตรีฟาสซิสต์อบรมสตรีทั่วไปในการ "ปรุงอาหารอย่างพึ่งตนเอง" เพื่อใช้ทดแทนวัตถุดิบที่ไม่ได้นำเข้าอีกต่อไป ราคาอาหารพุ่งสูงขึ้นในช่วงปี ค.ศ. 1930 รัฐบาลไม่สนับสนุนให้มีการบริโภคนม, ผลิตภัณฑ์จากนม และเนื้อสัตว์มากนัก ส่งผลให้ชาวอิตาลีจำนวนมากหันไปใช้บริการวัตถุดิบจากตลาดมืดแทน นโยบายนี้ฉายภาพให้เห็นว่าฟาสซิสต์มองอาหารและพฤติกรรมของประชาชนทั่วไปว่าเป็นทรัพยากรทางยุทธศาสตร์ในการจัดการต่อความละเลยในประเพณีและการบริโภค[104]

นโยบายการต่างประเทศของรัฐบาลฟาสซิสต์

อาณาเขตจักรวรรดิอิตาลีในปี ค.ศ. 1940

เบนิโต มุสโสลินี และพรรคฟาสซิสต์ให้สัญญาว่าจะนำอิตาลีกลับไปเป็นชาติมหาอำนาจในยุโรป สร้างอิตาลีขึ้นมาในฐานะ จักรวรรดิโรมันใหม่ มุสโสลินีให้สัญญาอีกว่าอิตาลีจะมีอำนาจเหนือทะเลเมดิเตอร์เรเนียนแต่เพียงผู้เดียว พรรคฟาสซิสต์เองก็ใช้คำศัพท์สมัยโรมันซึ่งใช้เรียกทะเลเมดิเตอร์เรเนียนว่า มาเรนอสตรุม (ละติน: ทะเลของเรา) ในการโฆษณาชวนเชื่อด้วย นอกจากนี้ยังหันมาใส่ใจโครงการด้านการทหารเพิ่มมากขึ้นทั้งในรูปแบบของงบประมาณและในรูปแบบอื่นๆ และเริ่มแผนการสถาปนาจักรวรรดิอาณานิคมอิตาลีขึ้นในแอฟริการวมถึงอ้างสิทธิ์การปกครองเหนือทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและทะเลเอเดรียติก พรรคยังพิจารณาถึงสงครามเข้ายึดดัลเมเชีย, แอลเบเนีย และกรีซสำหรับจักรวรรดิอาณานิคมอิตาลีด้วย

ความพยายามในการล่าอาณานิคมบนทวีปแอฟริกาเริ่มขึ้นในยุคคริสต์ทศวรรษที่ 1920 สงครามกลางเมืองซึ่งสร้างความวุ่นวายในแอฟริกาเหนือของอิตาลี (อาฟริกาเซตเตนตริโอนาเลอิตาเลีย) เมื่อชาวอาหรับท้องถิ่นไม่ยอมรับการปกครองแบบอาณานิคมของอิตาลี มุสโสลินีจึงส่งจอมพลโรดัลโฟ กราซียานิ เพื่อนำการปราบปรามรักษาความสงบต่อนักชาตินิยมอาหรับ โอมาร์ มุกห์ตาร์ เป็นผู้นำฝ่ายต่อต้าน จนเมื่อมีการพักรบในวันที่ 3 มกราคม ค.ศ. 1928 นโยบายของฟาสซิสต์ต่อลิเบียก็ทวีความเหี้ยมโหดขึ้น แนวรั้วเหล็กตาข่ายถูกสร้างขึ้นยาวตั้งแต่ชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนไปจนสุดที่โอเอซิสแห่งชัคห์บับเพื่อตัดเส้นทางสำคัญของฝ่ายต่อต้าน ไม่นานหลังจากนั้น ฝ่ายรัฐบาลอาณานิคมจึงเริ่มการเนรเทศประชากรในเมืองเจเบลอัคห์ดาร์ครั้งใหญ่เพื่อตัดการสนับสนุนฝ่ายต่อต้านจากประชาชนท้องถิ่น ผู้ถูกเนรเทศมากกว่า 100,000 คนถูกบังคับให้ไปยังค่ายกักกันในซุลุคและอัลอัคห์เอลา ที่ซึ่งหลายพันคนเสียชีวิตลงจากสภาพความเป็นอยู่ที่เลวร้าย มีการประมาณการณ์ว่าชาวลิเบียผู้ซึ่งเสียชีวิตและถูกฆ่าทั้งจากการสู้รบ, ความอดอยากหิวโหย และโรคระบาด มีอย่างน้อย 80,000 คน และถึงครึ่งหนึ่งของจำนวนประชากรในภูมิภาคไซเรไนกา หลังจากการถูกจับกุมตัวของโอมาร์ มุกห์ตาร์ ในวันที่ 15 กันยายน ค.ศ. 1931 จนถูกประหารชีวิตที่เมืองเบงกาซี จำนวนการต่อต้านจึงแผ่วลง แต่ยังคงมีความพยายามต่อต้านการปกครองของอิตาลีเล็กน้อยจากชีค อิดริส องค์อธิปัตย์แห่งไซเรไนกา

มีการเจรจากับรัฐบาลสหราชอาณาจักรในหัวข้อการขยายเขตแดนของอาณานิคมลิเบีย การเจรจาครั้งแรกเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1925 เพื่อปักปันเขตแดนระหว่างลิเบียของอิตาลีกับอียิปต์ซึ่งในขณะนั้นตกเป็นอาณานิคมของสหราชอาณาจักร ส่งผลให้อิตาลีได้รับดินแดนส่วนที่ยังไม่ได้ปักปันเพิ่มเติม[105] ในปี ค.ศ. 1934 อิตาลีเรียกร้องดินแดนเพิ่มเติมอีกครั้งจากซูดานซึ่งตกเป็นอาณานิคมของสหราชอาณาจักร สหราชอาณาจักรจึงยอมมอบดินแดนบางส่วนให้ผนวกเข้ากับลิเบีย มีการคาดเดาว่าสาเหตุที่เป็นเช่นนั้นอาจเป็นเพราะความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศยังคงแน่นแฟ้นดีอยู่ ก่อนที่จะเลวร้ายลงตั้งแต่ปี ค.ศ. 1935 เป็นต้นไป

ในปี ค.ศ. 1935 มุสโสลินีเชื่อว่าถึงเวลาอันสมควรแล้วที่อิตาลีจะทำการบุกเอธิโอเปีย (หรือรู้จักกันในนามอะบิสซิเนีย) และผนวกเข้ามาเป็นอาณานิคมของตน ส่งผลให้เกิดสงครามอิตาลี-อะบิสซิเนียครั้งที่สองขึ้น อิตาลีบุกเอธิโอเปียผ่านอาณานิคมเอริเทรียและโซมาลีแลนด์ของตน พร้อมทั้งกระทำการเหี้ยมโหดต่อชาวเอธิโอเปีย เช่น การโปรยสารพิษเคมีทางอากาศใส่ทหารแนวหน้าฝ่ายเอธิโอเปีย จนเอธิโอเปียยอมแพ้ในปี ค.ศ. 1936 อิตาลีจึงสามารถพิชิตเอาเอธิโอเปียมาไว้ในครอบครองได้สำเร็จหลังจากที่ล้มเหลวในความพยายามช่วงยุค ค.ศ. 1880 ต่อมาพระเจ้าวิคเตอร์ เอ็มมานูเอลที่ 3 จึงอ้างสิทธิ์ในราชบัลลังก์เอธิโอเปียและสถาปนาตนขึ้นเป็นจักรพรรดิแห่งเอธิโอเปีย แต่ผลที่ตามมาในเวทีนานาชาติคือการที่อิตาลีถูกโดดเดี่ยวในที่ประชุมสันนิบาตชาติ ด้านฝรั่งเศสและสหราชอาณาจักรก็รู้สึกสูญสิ้นความไว้วางใจในตัวมุสโสลินีในทันที มีเพียงชาติเดียวที่คอยหนุนหลังอิตาลีในเวลานั้นคือนาซีเยอรมัน ภายหลังจากที่ถูกประณามโดยสันนิบาตชาติ ที่ประชุมใหญ่ฟาสซิสต์อิตาลีจึงมีมติให้อิตาลีประกาศถอนตัวจากสันนิบาตชาติในวันที่ 11 ธันวาคม ค.ศ. 1937 และมุสโสลินีกล่าวเยาะเย้ยสันนิบาติชาติว่าเป็นเพียงแค่ "วิหารที่ใกล้จะถล่ม"[106]

หลังจากถูกกดดันโดยนาซีเยอรมันให้ส่งเสริมลัทธิฟาสซิสต์ อิตาลีจึงหันความสนใจออกจากนโยบายจักรวรรดินิยมที่ใช้เผยแพร่วัฒนธรรมอิตาลีในอาณานิคมและหันมาส่งเสริมการตั้งถิ่นฐานของชาวอิตาลีในอาณานิคมแทน โดยกล่าวว่า "สร้างสรรค์ขึ้น ณ ใจกลางผืนทวีปแอฟริกา, นิวเคลียสอันทรงอำนาจของชนผิวขาวด้วยกันแข็งแกร่งมากพอที่จะดึงดูดประชากรเหล่านั้นภายในวงจรเศรษฐกิจและอารยธรรมโรมันฟาสซิสต์ของเรา"[107] การปกครองของฟาสซิสต์ในอาณานิคมของตนนั้นแตกต่างกันไปในแต่ละภูมิภาค การปกครองในแอฟริกาตะวันออกของอิตาลี (อาฟริกาโอรีเอนตาเลอิตาเลีย) อาณานิคมซึ่งประกอบไปด้วย เอธิโอเปีย, เอริเทรีย และโซมาลีแลนด์ของอิตาลี นั้นเข็มงวดรุนแรงกับชนพื้นเมืองอันเป็นผลมาจากนโยบายฟาสซิสต์ที่มุ่งเน้นทำลายวัฒนธรรมพื้นเมือง ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1937 จอมพลโรดัลโฟ กราซียานิ ออกคำสั่งให้ทหารอิตาลีปล้นสะดมชาวพื้นเมืองที่ตั้งรกรากอยู่ในกรุงอาดดิสอาบาบา ส่งผลให้ชาวเอธิโอเปียถูกฆ่าและบ้านเรือนของพวกเขาถูกเผาทำลายลงมากมาย[108] ภายหลังการเข้ายึกครองเอธิโอเปีย พรรคฟาสซิสต์อนุมัติให้มีการแบ่งแยกเชื้อชาติเกิดขึ้นเพื่อลดจำนวนลูกหลานที่มีเชื้อชาติผสมในอาณานิคมของตน โดยอ้างว่าลูกหลานเหล่านี้จะทำให้เชื้อชาติอิตาลี "แปดเปื้อน"[109] การสมรสและการร่วมเพศระหว่างชาวอิตาลีกับชาวแอฟริกันพื้นเมืองถือเป็นความผิดทางอาญา เมื่อฟาสซิสต์บัญญติกฎหมายฉบับนี้ขึ้นในวันที่ 19 เมษายน ค.ศ. 1937 ซึ่งมีโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งถึงห้าปีกับชาวอิตาลีที่ถูกจับเนื่องจากข้อหานี้[109] แต่กลับไม่มีโทษใดๆ ต่อชาวแอฟริกันเนื่องจากรัฐบาลมีความเห็นว่าเป็นความผิดของชาวอิตาลีเองที่ทำให้เชื้อชาติของพวกเขาต้องสูญเสียเกียรติภูมิ[109] แม้ว่าในโฆษณาชวนเชื่อบางตัวของอิตาลีจะมีการใช้ภาษาเหยียดเชื้อชาติบ้าง แต่รัฐบาลฟาสซิสต์ยอมให้ชาวแอฟริกันเข้าร่วมกองทัพอาณานิคมด้วยการเกณฑ์ทหาร ซึ่งมีปรากฏการเข้าร่วมกองทัพของชาวแอฟริกันในโฆษณาชวนเชื่อของฟาสซิสต์ด้วย ในลิเบียของอิตาลี มุสโสลินีลดบทบาทนโยบายฟาสซิสต์ลงเพื่อทำให้ผู้นำชาวอาหรับที่นี่ไว้วางใจในรัฐบาลของเขา เช่น เสรีภาพส่วนบุคคล, สิทธิ์ในการครอบครองที่อยู่อาศัยและทรัพย์สิน, สิทธิ์ในการเข้าร่วมกองทัพหรือราชการ และสิทธิ์ในการแสวงหาอาชีพหรือการจ้างงานอย่างเสรี ความอิสระทั้งหลายเหล่านี้รัฐบาลอิตาลีรับประกันให้กับชาวลิเบียมาตั้งแต่เดือนธันวาคม ค.ศ. 1934[109] ต่อมาในการเยือนลิเบียครั้งสำคัญของมุสโสลินีในปี ค.ศ. 1937 การโฆษณาชวนเชื่อครั้งสำคัญได้เกิดขึ้นในวันที่ 18 มีนาคม เมื่อมุสโสลินีถ่ายรูปกับบุคคลสำคัญชาวอาหรับซึ่งกำลังมอบ ดาบแห่งมุสลิม อันทรงเกียรติให้แก่เขา (ซึ่งแท้ที่จริงแล้วดาบนี้ถูกทำขึ้นในฟลอเรนซ์) ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ให้เห็นว่าเขาคือผู้พิทักษ์ชาวมุสลิมอาหรับ ณ ที่แห่งนี้[110] ในปี ค.ศ. 1939 กฎหมายฉบับหนึ่งถูกผ่านโดยรัฐสภาอนุญาตให้ชาวมุสลิมเข้าร่วมกับพรรคฟาสซิสต์ได้ และพรรคสันนิบาตมุสลิมแห่งลิคเตอร์ในลิเบียได้ (อัสโซชาซีโอนมูซุลมานาเดลลิตโตริโอ) และในปีเดียวกันนั้นได้มีการปฏิรูปเกิดขึ้นทำให้ลิเบียมีกองทัพของตนเองโดยเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพอิตาลี[111]

นอกจากนี้รัฐบาลฟาสซิสต์ยังมีนโยบายข้องเกี่ยวกับการแทรกแซงกิจการภายในของประเทศยุโรป ในปี ค.ศ. 1923 ทหารอิตาลีเข้ายึดเกาะคอร์ฟูของกรีซ ซึ่งเป็นหนึ่งในแผนการยึดประเทศกรีซของรัฐบาลฟาสซิสต์ อย่างไรก็ดีในท้ายที่สุดเกาะคอร์ฟูก็ถูกส่งคืนแก่กรีซอีกครั้ง ทำให้กรีซกับอีตาลีสามารถหลีกเลี่ยงการทำสงครามต่อกันไปได้ ในปี ค.ศ. 1925 อิตาลีขู่เข็ญให้แอลเบเนียเข้ามาอยู่เป็นรัฐในอารักขาโดย พฤตินัย ซึ่งทำให้อิตาลีเผชิญหน้ากับอำนาจอธิปไตยของกรีซได้ง่ายขึ้น ทั้งที่ประชาชนชาวกรีกบนเกาะคอร์ฟูโดยเฉพาะคนหนุ่มสาวจะต่อต้านการเข้ายึดครองเกาะของอิตาลีอย่างหนัก เกาะคอร์ฟูมีความสำคัญอย่างมากต่อแนวคิดจักรวรรดินิยมและชาตินิยมอิตาลีจากการที่เกาะนี้เคยเป็นส่วนหนึ่งของสาธารณรัฐเวนิส ซึ่งเวนิสนี่เองที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อวัฒนธรรมและประติมากรรมอิตาลีในเวลาต่อมา ด้านความสัมพันธ์กับฝรั่งเศสดำเนินเป็นไปอย่างผสมผสาน ความตั้งใจที่แท้จริงมาโดยตลอดของอิตาลีคือการทำสงครามกับฝรั่งเศสเพื่อเรียกคืนดินแดนที่มีชาวอิตาลีอาศัยอยู่[112] แต่ด้วยการก้าวขึ้นสู่อำนาจของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ อิตาลีหันมากังวลในเรื่องเอกราชของออสเตรียและภัยคุกคามจากเยอรมนีที่อาจมีต่ออิตาลีหากเรียกคืนดินแดนทีโรลจากออสเตรีย จากความกังวลเกี่ยวกับการแผ่ขยายอำนาจของเยอรมนีนี้เอง ทำให้อิตาลีเข้าร่วมแนวสเตรซากับฝรั่งเศสและสหราชอาณาจักรในการต้านทานเยอรมนี โดยแนวร่วมนี้ดำเนินไปเพียงปีเดียวระหว่าง ค.ศ. 1935 - ค.ศ. 1936 รัฐบาลฟาสซิสต์ดำเนินความสัมพันธ์ต่อยูโกสลาเวียในเชิงลบเพราะต้องการที่จะให้ยูโกสลาเวียล่มสลายซึ่งจะเปิดทางให้อิตาลีขยายอาณาเขตและเสริมสร้างอำนาจของตนเพิ่มเติม อิตาลีทำการจารกรรมในยูโกสลาเวียหลังจากที่ทางการยูโกสลาเวียตรวจพบเครือข่ายจารชนบ่อยครั้งในสถานทูตอิตาลี เช่นในครั้งปี ค.ศ. 1930[112] ก่อนหน้านี้ในปี ค.ศ. 1929 รัฐบาลฟาสซิสต์ได้รับเอานักชาตินิยมสุดโต้งชาวโครเอเชียนามว่าอันเต พาเวลิช (Ante Pavelić) เข้าลี้ภัยทางการเมืองในอิตาลี ฟาสซิสต์ให้ความช่วยเหลือทางการเงินและการฝึกฝนทางการทหารให้แก่เขา เพื่อที่จะได้นำไปใช้สนับสนุนกองทหารฟาสซิสต์และกลุ่มก่อการร้ายที่ถูกตั้งขึ้นมาใหม่ของเขานามว่า กลุ่มการเคลื่อนไหวปฏิวัติโครเอเชีย (Ustaše) ซึ่งต่อมาจะกลายเป็นกองกำลังสำคัญที่ปกครองเสรีรัฐโครเอเชีย สังหารชาวเซิร์บ, ชาวยิว และชนกลุ่มน้อยอื่นๆ มากมายในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง[113] ในปี ค.ศ. 1936 ที่สเปน พรรคฟาสซิสต์ได้เข้าทำการแทรกแซงกิจการภายในต่างประเทศครั้งสำคัญที่สุดก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง สาธารณรัฐสเปนถูกแยกออกจากกันด้วยสงครามกลางเมืองสเปนระหว่างฝ่ายสาธารณรัฐสังคมนิยมผู้มีแนวคิดต่อต้านศาสนจักรกับฝ่ายชาตินิยมผู้มีศาสนจักรและกลุ่มกษัตริย์นิยมหนุนหลังภายใต้การนำของจอมพลฟรานซิสโก ฟรังโก และกลุ่มฟาสซิสต์ของเขาที่มีนามว่า ฟาลังซ์ (Falange) อิตาลีส่งเครื่องบินรบ, ยุทโธปกรณ์ และกองกำลังกว่า 60,000 นายไปช่วยฝ่ายชาตินิยมในสเปน สงครามครั้งนี้ยังช่วยฝึกฝนการทหารแก่กองทัพอิตาลีและยังช่วยฟื้นฟูความสัมพันธ์กับคริสตจักรคาทอลิก นอกจากนี้มันยังช่วยให้อิตาลีมีทางออกสู่มหาสมุทรแอตแลนติกและความพยายามในนโยบาย มาเรนอสตรุม โดยไม่ต้องกลัวว่าจะมีสเปนคอยขัดขวาง นอกจากนี้ผู้จัดส่งยุทโธปกรณ์สนับสนุนหลักอีกรายคือนาซีเยอรมัน และในสงครามครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่กองทัพอิตาลีร่วมรบกับกองทัพเยอรมันตั้งแต่สิ้นสุดสงครามออสเตรีย-ปรัสเซีย ในช่วงปี ค.ศ. 1860 ในช่วงปี ค.ศ. 1930 อิตาลีต่อเรือประจัญบานและเรือรบมากมายเพื่อเสริมอิทธิพลของตนเหนือทะเลเมดิเตอร์เรเนียน

ภายหลังเยอรมนีผนวกเช็กโกสโลวาเกียเข้าเป็นดินแดนของตน อิตาลีจึงตัดสินใจจะเข้ายึดแอลเบเนียเนื่องจากกลัวว่าตนจะตกเป็นประเทศสมาชิกชั้นรองในฝ่ายอักษะ ในวันที่ 7 เมษายน ค.ศ. 1939 อิตาลีเข้ารุกรานแอลเบเนีย ทำให้แอลเบเนียตกเป็นของอิตาลีโดยสมบูรณ์ภายในระยะเวลาไม่นาน และรัฐสภาแอลเบียได้ทำการราชาภิเษกพระเจ้าวิคเตอร์ เอ็มมานูเอลที่ 3 ขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์แห่งแอลเบเนีย ความชอบธรรมในการเข้ายึดแอลเบเนียสืบเนื่องย้อนไปในสมัยจักรวรรดิโรมัน เมื่อชาวโรมันเข้ายึดแอลเบเนียเป็นภูมิภาคหนึ่งของตนก่อนการเข้ายึดอิตาลีตอนเหนือเสียอีก แต่เป็นที่เด่นชัดว่าสายสัมพันธ์กับอิตาลียังคงเหลืออยู่เล็กน้อยในหมู่ประชาชนชาวแอลเบเนีย ซึ่งแท้ที่จริงแล้วสงครามครั้งนี้ไม่อาจกล่าวได้ว่าเป็นสงครามรุกรานประเทศอธิปไตยได้อย่างเต็มที่ เนื่องจากแอลเบเนียตกเป็นรัฐในอารักขาของอิตาลีมาตั้งแต่ช่วง ค.ศ. 1920 และกองทัพของแอลเบเนียก็ตกอยู่ใต้การบังคับบัญชาโดยเหล่านายทหารจากอิตาลีอยู่แล้ว อย่างไรก็ดีพระเจ้าวิคเตอร์ เอ็มมานูเอลที่ 3 ทรงไม่พอพระราชหฤทัยมากนักกับการรุกรานครั้งนี้ เนื่องด้วยพระองค์ทรงเกรงว่าอิตาลีจะยิ่งถูกโดดเดี่ยวจากนานาชาติมากขึ้นอีก ทั้งที่ก่อนหน้านี้ถูกโดดเดี่ยวจากการเข้ารุกรานเอธิโอเปียเป็นแต่เดิมอยู่แล้ว[114]

ความสัมพันธ์กับเยอรมนีในยุคของฮิตเลอร์

เมื่อพรรคแรงงานสังคมนิยมแห่งชาติเยอรมัน (หรือที่รู้จักกันทั่วไปในชื่อพรรคนาซี) ได้ครองอำนาจในเยอรมนีในปี ค.ศ. 1939 มุสโสลีนีและรัฐบาลฟาสซิสต์ได้แสดงการรับรองพรรคนาซีต่อสาธารณชนด้วยคำพูดของมุสโสลีนีที่ว่า "ชัยชนะของฮิตเลอร์คือชัยชนะของเรา"[115] นอกจากนี้รัฐบาลฟาสซิสต์ยังได้ประกาศจะเริ่มสร้างความเป็นพันธมิตรร่วมกันกับเยอรมนีในระบอบใหม่นี้ด้วย[116]

โดยส่วนตัวแล้ว มุสโสลีนีและกลุ่มฟาสซิสต์อิตาลีได้แสดงถึงการไม่ยอมรับรัฐบาลพรรคนาซีถึงแม้ว่าจะมีอุดมการณ์ที่คล้ายคลึงกันก็ตาม ตัวของมุสโสลีนีเองก็มีทัศนคติที่ไม่ยอมรับฮิตเลอร์ด้วยเช่นกัน ฝ่ายฟาสซิสต์ไม่ไว้วางใจในแนวคิดรวมเยอรมัน (Pan-German) ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเขามองว่าเป็นภัยคุกคามอิตาลีซึ่งในประวัติศาสตร์มีพื้นที่หลายส่วนอยู่เคยอยู่ภายใต้การปกครองของจักรวรรดิออสเตรียมาก่อน ขณะเดียวกันถึงแม้ว่าฝ่ายนาซีเองจะไม่ยอมรับในตัวมุสโสลีนีกับพรรคฟาสซิสต์อิตาลีก็ตาม แต่ฮิตเลอร์เองกลับเลื่อมใสในวิสัยทัศน์และวาทศิลป์ของมุสโสลีนีมาก และได้ยอมรับเอาสัญลักษณ์ของฟาสซิสต์อิตาลีหลายอย่างมาใชในพรรคนาซี เช่น การแสดงความเคารพด้วยการเหยียดแขนตรงอย่างที่เรียกว่า โรมันซาลูต (Roman salute) การใช้วาทศิลป์ที่กินใจ การใช้กองกำลังกึ่งทหารในเครื่องแบบในการใช้กำลังทางการเมือง และการเดินขบวนของมวลชนเพื่อแสดงพลังในการเคลื่อนไหว ในปี ค.ศ. 1922 ฮิตเลอร์ได้พยายามขอคำแนะนำจากมุสโสลีนีในการจัดการรณรงค์แบบการสวนสนามแห่งโรมในแบบของเขาเอง ซึ่งเขาจะเรียกชื่อมันว่า การสวนสนามแห่งเบอร์ลิน (การรณรงค์ครั้งนี้ในเวลาต่อมาคือเหตุการณ์โค่นล้มรัฐบาลสาธารณรัฐไวมาร์ที่ล้มเหลวในปี ค.ศ. 1923 ซึ่งมีชื่อเรียกว่า กบฏโรงเบียร์ (Beer Hall Putsch) ทว่าในเวลานั้นมุสโสลีนีมิได้ตอบรับคำขอของฮิตเลอร์เพราะเขาไม่ได้สนใจขบวนการของฮิตเลอร์มากนักและคิดว่าฮิตเลอร์ค่อนข้างบ้า[117] มุสโสลีนีเคยพยายามอ่านหนังสือ ไมน์คัมพฟ์ (การต่อสู้ของข้าพเจ้า) ซึ่งเป็นชีวประวัติของฮิตเลอร์ เพื่อค้นหาว่าขบวนการสังคมนิยมแห่งชาติของฮิตเลอร์คืออะไร แต่ไม่ช้าเขาก็พบกับความผิดหวัง โดยกล่าวว่าหนังสือ ไมน์คัมพฟ์ เป็น "หนังสือเล่มโตที่น่าเบื่อซึ่งเขาไม่คิดจะอ่านมันอีก" และยังย้ำด้วยว่าความเชื่อของฮิตเลอร์เป็นสิ่งที่ "เล็กน้อยยิ่งกว่าเรื่องดาษๆ ที่เกิดขึ้นซ้ำซากอยู่ทุกวัน"[112] ขณะที่มุสโสลีนีชอบฮิตเลอร์ในแง่ที่เขาสนับสนุนความเป็นเลิศในทางวัฒนธรรมและจริยธรรมของตนผิวขาวว่าเหนือกว่าชนชาติอื่นในโลก[109] เขากลับคัดค้านความคิดต่อต้านยิวของฮิตเลอร์ ทั้งนี้เพราะชาวลัทธิฟาสซิสต์จำนวนมากเป็นคนยิว ซึ่งรวมถึงภรรยาน้อยของมุสโสลีนีคนหนึ่งที่มีชื่อว่า มาร์เกริตา ซาร์ฟัตตี (Margherita Sarfatti) ซึ่งเป็นผู้อำนวยการฝ่ายศิลปะและโฆษณาการของพรรคฟาสซิสต์ พรรคฟาสซิสต์ได้รับการสนับสนุนจากพวกต่อต้านยิวเพียงเล็กน้อย มุสโสลีนีเองก็ไม่ได้คิดจะตีราคาทางเชื้อชาติด้วยต้นกำเนิดแห่งความเป็นเลิศ เขาต้องการใช้วัฒนธรรมเป็นเครื่องมือในการประเมินค่ามากกว่า

ฮิตเลอร์และพรรคนาซีพยายามทาบทามมุสโสลีนีให้สนับสนุนการดำเนินงานของพวกเขาต่อไป และไม่นานหลังจากนั้นมุสโสลีนีก็ได้ให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่พรรคนาซี และอนุญาตพรรคนซีฝึกหัดกองกำลังติดอาวุธของตนเองได้ เพราะเขาเชื่อว่าถึงแม้จะมีความแตกต่างกัน แต่ระบอบฟาสซิสต์แบบเยอรมนี (หมายถึงพรรคนาซี) ก็น่าจะเป็นประโยชน์แก่อิตาลีอยู่บ้าง[112] ความคลางแคลงใจในพรรคนาซีได้เพิ่มสูงขึ้นหลังปี ค.ศ. 1933 ทำให้มุสโสลีนีต้องหาทางรับประกันว่านาซีเยอรมนีจะไม่กลายเป็นรัฐฟาสซิสต์ที่โดดเด่นกว่าใครในทวีปยุโรป เพื่อการนี้ มุสโสลีนีจึงได้แสดงท่าทีคัดค้านความพยายามของเยอรมนีในการผนวกดินแดนออสเตรียหลังจากที่ประธานาธิบดีออสเตรีย เอนเกลแบรต์ ดอลล์ฟุส (Engelbert Dollfuss) ซึ่งเป็นผู้นิยมลัทธิฟาสซิสต์ ถูกลอบสังหารในปี ค.ศ. 1934 และให้คำมั่นว่าจะสนับสนุนกองทัพออสเตรียหากเยอรมนีเข้ามาก้าวก่ายกิจการภายในของออสเตรีย คำมั่นสัญญาดังกล่าวได้ช่วยให้ออสเตรียรอดพ้นจากการถูกผนวกดินแดนในปี ค.ศ. 1934 ได้

หลังการเข้ายึดครองเอธิโอเปีย มุสโสลีนีและฮิตเลอร์ได้ยกระดับความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศ ถึงแม้ว่าความสัมพันธ์ส่วนตัวของทั้งสองคนทั้งในทางส่วนบุคคลและในทางการเมืองจะยังคงตึงเครียดกันอยู่ก็ตาม

การปรากฏตัวต่อสาธารณชนและการโฆษณาชวนเชื่อแสดงให้เห็นภาพความใกล้ชิดระหว่างฮิตเลอร์กับมุสโสลีนี และความคล้ายคลึงระหว่างระบอบฟาสซิสต์อิตาลีและระบอบสังคมนิยมแห่งชาติของเยอรมนี ขณะที่อุดมคติของทั้งสองฝ่ายคล้ายคลึงกันอย่างสำคัญยิ่ง ทั้งสองฝ่ายเองต่างก็ตั้งข้อหวาดระแวงซึ่งกันและกัน และผู้นำทั้งสองฝ่ายต่างก็แข่งขันกันในการสร้างอิทธิพลต่อโลกด้วย ฮิตเลอร์และมุสโสลีนีได้พบกันครั้งแรกเมื่อเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1934 ในวาระเรื่องวิกฤตแห่งความเป็นเอกราชของออสเตรีย หลังการพบกันในครั้งนั้น มุสโสลีนีได้กล่าวถึงฮิตเลอร์โดยลับหลังว่าเป็นแค่ "ลิงโง่ๆ ตัวหนึ่ง" เท่านั้น[118]

หลังจากอิตาลีถูกโดดเดี่ยวจากการก่อสงครามอิตาลี-อะบิสซิเนียครั้งที่สอง ในปี ค.ศ. 1936 รัฐบาลอิตาลีมีทางเลือกไม่มากแต่ต้องเลือกที่จะทำงานร่วมกับเยอรมนีเพื่อทวงคืนสถานะได้เปรียบในการต่อรองในเวทีการต่างประเทศของตนเองไว้ และต้องฝืนใจประกาศยกเลิกการสนับสนุนเอกราชของออสเตรียต่อเยอรมนี วันที่ 28 ตุลาคม ค.ศ. 1937 มุสโสลีนีได้ประกาศให้การสนับสนุนเยอรมนีในการทวงคืนอาณานิคมซึ่งเยอรมนีได้สูญเสียไปในสงครามโลกครั้งที่ 1 โดยได้กล่าวว่า

ประชาชนที่ยิ่งใหญ่ดังเช่นประชาชนชาวเยอรมนีจะต้องได้คืนซึ่งพื้นที่ที่ตนเองมีสิทธิครอบครอง และเป็นพื้นที่ซึ่งอยู่ภายใต้ดวงตะวันแห่งแอฟริกา

– เบนิโต มุสโสลีนี, 28 ตุลาคม ค.ศ. 1937[119]

โดยไม่มีการคัดค้านอย่างสำคัญจากอิตาลี ฮิตเลอร์ได้ดำเนินการตามแผน อันชลูส์ (เยอรมัน: Anschluß) ด้วยการผนวกดินแดนออสเตรียเป็นส่วนหนึ่งของเยอรมนีในปี ค.ศ. 1938 ต่อมาเยอรมนีก็ได้อ้างสิทธิในเขตสุเดเตนแลนด์ ซึ่งเป็นจังหวัดหนึ่งของเชโกสโลวาเกียที่มีพลเมืองส่วนมากเป็นชาวเยอรมัน มุสโสลีนีรู้สึกว่าตนไม่มีทางเลือกมากนักแต่ก็จำต้องเข้าข้างเยอรมนีเพื่อหลีกเลี่ยงการโดดเดี่ยวอิตาลี จากการผนวกออสเตรียโดยเยอรมนีในปี ค.ศ. 1938 รัฐบาลฟาสซิสต์เริ่มวิตกถึงชาวเยอรมันส่วนใหญ่ซึ่งเป็นประชากรของแคว้นติรอลใต้ไม่ว่าว่าคนกลุ่มนี้อาจต้องการเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของ เยอรมนีอันยิ่งใหญ่ (Greater Germany) หรือไม่ และยังกังวลอีกด้วยว่าสมควรหรือไม่ที่อิตาลีจะตามรอยนโยบายต่อต้านยิวของพรรคนาซีเพื่อที่จะเอาใจเยอรมนีซึ่งมีความรู้สึกที่หลากหลายในเรื่องการเป็นพันธมิตรกับอิตาลี จะอย่างไรก็ตาม มุสโสลีนีก็ได้บังคับให้มีการผ่านกฎหมายต่อต้านชาวยิว แม้วว่าเคานท์กาลีซโซ ชิอานี ผู้เป็นลูกเขยและเป็นฟาสซิตส์อย่างเคร่งครัด จะได้ประณามกฎหมายฉบับนี้ก็ตาม หลังจากการตรากฎหมายฉบับดังกล่าวซึ่งได้รับการต่อต้านจากประชาชนเป็นอย่างมากแล้ว มุสโสลีนีและรัฐบาลฟาสซิสต์ก็ได้เรียกร้องการประนีประนอมจากฝ่านฮิตเลอร์และรัฐบาลนาซี ในปี ค.ศ. 1939 รัฐบาลฟาสซิสต์ได้เรียกร้องฮิตเลอร์และรัฐบาลของเขายอมรับแผนการของอิตาลีโดยสมัครใจ ในการให้ชาวเยอรมนีในแคว้นติรอลใต้ให้เลือกระหว่างการอพยพไปจากที่นั้นหรือการถูกบังคับให้ยอมรับความเป็นอิตาลี ฮิตเลอร์แสดงท่าทียอมรับ การปฏิบัติต่อชาวเยอรมันในติรอลใต้จึงถูกทำให้เป็นกลางมานั้นแต่นั้น

เมื่อสงครามใกล้เข้ามาถึงในปี ค.ศ. 1939 รัฐบาลฟาสซิสต์ได้เพิ่มการรณรงค์ผ่านสื่ออย่างก้าวร้าวเพื่อต่อต้านฝรั่งเศสโดยอ้างว่าชาวอิตาลีกำลังทนทุกข์ทรมานอยู่ในฝรั่งเศส[120] สิ่งนี้เป็นสิ่งสำคัญต่อพันธมิตรอักษะทั้งฝ่ายเยอรมนีและอิตาลีซึ่งร่วมกันอ้างสิทธิในฝรั่งเศส กล่าวคือเยอรมนีอ้างสิทธิในแคว้นอัลซาซและลอร์แรน ซึ่งเป็นแคว้นที่มีพลเมืองเชื้อสายเยอรมันอยู่มาก ส่วนอิตาลีก็ต้องการแย่งเอาภูมิภาคซาวอยและและเกาะคอร์ซิกาซึ่งประชากรเป็นพวกลูกผสมอิตาลี-ฝรั่งเศสกลับคืนมา ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1939 การจัดตั้งพันธมิตรอย่างเป็นทางการได้เกิดขึ้นโดยรู้จักกันในนานสนธิสัญญาเหล็ก ซึ่งบังคับให้อิตาลีต้องร่วมรบกับเยอรมนีในกรณีที่เกิดสงครามกับเยอรมนี มุสโสลีนีรู้สึกว่าตนถูกบังคับให้ลงนามในสนธิสัญญานี้แม้ว่าเขายังกังวลเป็นการส่วนตัวว่าสงครามจะปะทุขึ้นในอนาคตอันใกล้ การบังคับดังกล่าวนี้ได้เพิ่มขึ้นจากคำมั่นสัญญาที่เขาได้ให้ไว้แก่ชาวอิตาลีที่ว่าจะสร้างจักรวรรดิโรมันใหม่ขึ้นมาและความทะเยอทะยานส่วนตัวที่ไม่ต้องการให้ฮิตเลอร์เป็นผู้นำยุโรปเพียงฝ่ายเดียว[121] มุสโสลีนีถูกปฏิเสธจากสนธิสัญญาโมโลตอฟ-ริบเบนทรอพ ซึ่งเป็นข้อตกลงลับในการแบ่งแยกสาธารณรัฐโปแลนด์ที่สองโดยเยอรมนีและสหภาพโซเวียตสำหรับการรุกรานที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้า รัฐบาลฟาสซิสต์รู้สึกว่านี่คือการทรยศต่อสนธิสัญญาต่อต้านโคมินเทิร์น แต่ได้ตัดสินใจว่าจะเก็บงำท่าทีอย่างเป็นทางการของตนเอาไว้[122]

สงครามโลกครั้งที่ 2 และความเสื่อมถอยของลัทธิฟาสซิสต์

เมื่อเยอรมนีเปิดฉากสงครามโลกครั้งที่ 2 ด้วยการรุกรานโปแลนด์ในวันที่ 1 กันยายน ค.ศ. 1939 มุสโสลีนีจึงได้ออกประกาศเข้าร่วมสงครามกับฝ่ายอักษะอย่างเป็นทางการในวันที่ 24 กันยายน ในปีเดียวกัน โดยให้เหตุผลว่าอิตาลีการดำรงความเป็นกลางอาจนำมาซึ่งความเสื่อมเสียต่อเกียรติภูมิของชาติได้ อย่างไรก็ตาม แม้ว่ามุสโสลีนีจะแสดงท่าทีที่ก้าวร้าว แต่เขาก็ได้กันเอาอิตาลีออกห่างจากความขัดแย้งในสงครามไปเสียหลายเดือน มุสโสลีนีได้กล่าวแก่เคาทน์ชิอาโนผู้เป็นลูกเขยและรัฐมนตรีการต่างประเทศของรัฐบาลฟาสซิสต์ว่า โดยส่วนตัวแล้วเขาอิจฉาในความสำเร็จของฮิตเลอร์ และคาดหวังไว้ว่าความอหังการของฮิตเลอร์จะถูกชะลอลงด้วยการโต้ตอบของฝ่ายสัมพันธมิตร[123] เขาได้พยายามถ่วงเวลาแห่งความสำเร็จของเยอรมนีในยุโรปออกไปด้วยการแจ้งเตือนให้เบลเยี่ยมและเนเธอร์แลนด์รับรู้ถึงการบุกของเยอรมนีที่จะเกิดขึ้นในเวลาอันใกล้ ซึ่งข้อมูลดังกล่าวนี้เป็นข้อมูลที่ฝ่ายเยอรมนีได้แจ้งให้เขาทราบ[124]

โดยอยู่นอกเหนือไปจากแผนการสงคราม มุสโสลีนีและระบอบฟาสซิสต์ได้ตัดสินใจว่า อิตาลีจะต้องผนวกเอาส่วนแบ่งของดินแดนขนาดใหญ่ในทวีปแอฟริกาและภูมิภาคตะวันออกกลางเข้ามารวมไว้ในจักรวรรดิอาณานิคมของอิตาลี ความลังเลในความคิดดังกล่าวนี้ยังคงมีอยู่ในองค์พระเจ้าแผ่นดินและจอมพลปีเอโตร บาโดลโย ซึ่งเป็นผู้บัญชาการทหารคนสำคัญ เขาได้เตือนว่าอิตาลีมีรถถัง ยานยนต์หุ้มเกราะ และอากาศยานน้อยเกินกว่าจะทำสงครามระยะยาวได้ เขายังได้บอกกับมุสโสลีนีด้วยว่า การเข้ายุ่งเกี่ยวในความขัดแย้งภายในทวีปยุโรปในเวลานั้นเป็นการ "ฆ่าตัวตาย" อย่างเห็นได้ชัด[125] มุสโสลีนีและรัฐบาลฟาสซิต์ได้รับคำปรึกษาไว้ในระดับหนึ่ง และรอจังหวะจนถึงตอนที่เยอรมนีทำการบุกฝรั่งเศสแล้ว จึงได้ตัดสินใจเข้าร่วมในสงครามอย่างเต็มตัว

ตอร์ปิโดมนุษย์ของราชนาวีอิตาลี ชนิดเดียวกับที่ใช้โจมตีเรือรบของบริเตนในการจู่โจมที่อเล็กซานเดรีย เมื่อ ค.ศ. 1941

เมื่อฝรั่งเศสแตกพ่ายให้แก่เยอรมนีด้วยการโจมตีแบบสายฟ้าแลบแล้ว อิตาลีก็ได้ประกาศสงครามต่อฝรั่งเศสและสหราชอาณาจักรในวันที่ 10 มิถุนายน ค.ศ. 1940 อันนับได้ว่าเป็นการปฏิบัติตามข้อผูกพันในสนธิสัญญาเหล็กอย่างสมบูรณ์ อิตาลีหวังไว้ว่าจะสามารถพิชิตเอาดินแดนซาวอย เมืองนีซ เกาะคอร์ซิกา (ดินแดนของราชอาณาจักรซาร์ดิเนียเดิมที่ต้องยกให้แก่ฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1860) กับทั้งอาณานิคมตูนิเซียและแอลจีเรียในทวีปแอฟริกา ซึ่งทั้งหมดอยู่ในความครอบครองของฝรั่งเศสได้ในเร็ววัน แต่แผนการดังกล่าวกลับต้องหยุดลงอย่างกะทันหันเมื่อเยอรมนีได้ทำสนธิสัญญาสงบศึกกับจอมพลฟิลิป เปแตง แม่ทัพฝ่ายฝรั่งเศสผู้ก่อตั้งรัฐบาลฝรั่งเศสวิชี ทำให้ดินแดนที่อิตาลีต้องการยึดครองทั้งหมดยังคงอยู่ในความครอบครองของฝรั่งเศสต่อไป การตัดสินใจของเยอรมนีในครั้งนี้สร้างความโกรธเคืองให้แก่รัฐบาลฟาสซิสต์อิตาลีมาก[126]

ขุมกำลังหนึ่งของอิตาลีที่สร้างความกังวลให้แก่กองทัพสัมพันธมิตรคือราชนาวีอิตาลี ซึ่งเป็นกองทัพเรือที่แข็งแกร่งที่สุดเป็นอันดับที่สี่ของโลกในขณะนั้น ในปี ค.ศ. 1940 ราชนาวีบริเตนได้เป็นฉากการโจมตีโดยไม่ทันตั้งตัวต่อกองเรืออิตาลีในยุทธนาวีตารันโต ยังผลให้เรือรบหลักของราชนาวีอิตาลีไม่สามารถใช้การได้ แม้ว่ากองเรือของอิตาลีจะไม่ได้รับความเสียหายมากอย่างที่กังวล แต่การโจมตีครั้งนี้ก็มีความหมายสำคัญแก่กองเรือของเครือจักรภพอังกฤษที่อยู่ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนอย่างยิ่ง กองเรือดังกล่าวนี้ได้รบกับกองเรืออิตาลีเพื่อป้องกันไม่ให้กองกำลังของเครือจักรภพที่ประจำการอยู่ในอียิปต์และตะวันออกกลางถูกตัดขาดการส่งกำลังบำรุงจากสหราชอาณาจักร ในปี ค.ศ. 1941 กองทัพอิตาลีประสบความสำเร็จในการขับไล่กองทัพของสหราชอาณาจักรและออสเตรเลียที่พยายามเข้ายึดครองเกาะคาสเตโลริโซ ซึ่งเป็นเขตยึดครองของอิตาลีที่อยู่ใกล้ชายฝั่งตุรกี ในปฏิบัติการแอ็บเซนชั่น ในเดือนธันวาคมปีเดียวกัน การลอบโจมตีของกองทัพอิตาลีที่เมืองอเล็กซานเดรีย ประเทศอียิปต์ โดยการส่งนักประดาน้ำไปวางระเบิดเรือรบของสหราชอาณาจักรทำให้ฝ่ายบริเตนใหญ่ต้องเสียเรือประจัญบานไปสองลำ เหตุการณ์ดังกล่าวนี้เป็นที่รู้จักกันดีในชื่อว่า "การจู่โจมที่อเล็กซานเดรีย" ในปีถัดมาคือปี ค.ศ. 1942 ราชนาวีอิตาลีก็ได้สร้างความเสียหายอย่างหนักต่อกองเรือลำเลียงพลของบริเตนใหญ่ซึ่งพยายามยกพลขึ้นบนที่มอลตาระหว่างปฏิบัติการฮาร์พูน เรือรบของสหราชอาณาจักรถูกจมลงหลายลำ ตลอดระยะเวลาที่กล่าวมานี้ฝ่ายสัมพันธมิตรเองก็ได้สร้างความเสียหายอย่างหนักให้แก่กองเรืออิตาลีด้วย ความพินาศของอิตาลีเองก็เป็นประโยชน์ในอีกทางหนึ่งแก่ฝ่ายเยอรมนีด้วยเช่นกัน

สัญญาณบ่งชี้ถึงภาวะที่อิตาลีต้องพึงพิงเยอรมนีซึ่งดำเนินต่อไปได้เด่นชัดขึ้นจากสงครามกรีซ-อิตาลี อันเป็นสงครามที่ก่อความเสียหายอย่างหนักแก่กองทัพบกอิตาลี มุสโสลีนีมุ่งหมายจะก่อสงครามกับกรีซเพื่อแสดงให้เยอรมนีเห็นว่า อิตาลีไม่ใช่มหาอำนาจที่อ่อนแอในเครือพันธมิตรอักษะ แต่เป็นจักรวรรดิซึ่งมีความสามารถที่จะพึ่งพาตนเองได้ เขาได้โอ้อวดต่อรัฐบาลของตนว่าเขาจะลาออกจากความเป็นชาวอิตาลีหากว่าใครก็ตามพบว่าการทำสงครามกับกรีซเป็นเป็นเรื่องยาก[127] ในเวลาหลายวันแห่งการรุกรานกรีซ กองทัพกรีซได้ผลักดันให้กองทัพอิตาลีถอยกลับไปตั้งมั่นที่แอลเบเนีย และตบหน้าฝ่ายอิตาลีด้วยการทำให้อิตาลีอยู่ในสถานการณ์ตั้งรับแทน[128] ฮิตเลอร์และรัฐบาลเยอรมนีผิดหวังกับความล้มเหลวของอิตาลีในกรีซมาก มุสโสลีนีก็รู้สึกเช่นเดียวกัน[129]

รถถัง AB 41 ของอิตาลี ซึ่งปฏิบัติการในคาบสมุทรบอลข่านระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2

เพื่อแย่งชิงเอากรีซกลับมาอีกครั้ง เยอรมนีจำต้องเปิดฉากยุทธการบอลข่านร่วมกับอิตาลี ซึ่งยังผลให้ราชอาณาจักรยูโกสลาเวียต้องล่มสลายในปี ค.ศ. 1941 และการยึดครองดัลเมเชียโดยอิตาลี มุสโสลีนีและฮิตเลอร์ได้ชดเชยให้แก่ขบวนการชาตินิยมชาวโครแอตด้วยการอนุญาตให้มีการจัดตั้งรัฐเอกราชโครเอเชียขึ้นภายใต้การบริหารของพรรคอุสตาเช (Ustaše) ซึ่งเป็นกลุ่มชาตินิยมสุดขั้ว และเพื่อเป็นการตอบแทนการได้รับความสนับสนุนจากอิตาลี รัฐบาลอุสตาเชตกลงยินยอมให้อิตาลีเข้าครอบครองตอนกลางของดัลเมเชียเช่นเดียวกับเกาะอีกหลายเกาะในทะเลเอเดรียติก เนื่องจากดินแดนดัลเมเชียมีนัยความหมายที่สำคัญต่อชาวอิตาลีอย่างยิ่ง การสูญเสียหมู่เกาะเอเดรียติกของโครเอเชียถือว่าเป็นการสูญเสียที่น้อยมากสำหรับรัฐบาลโครเอเชีย เพราะโครเอเชียได้รับอนญาตให้ผนวกเอาดินแดนซึ่งในปัจจุบันคือบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา และได้รับอนุญาตให้รังควานชาวเซิร์บที่อยู่ในที่นั้นเพื่อสร้างพื้นที่ตั้งรกรากสำหรับชาวโครแอตในอนาคต โดยทางการแล้ว โครเอเชียมีฐานะเป็นราชอาณาจักรและเป็นรัฐในอารักขาของอิตาลี ซึ่งปกครองโดยพระเจ้าโทมิสลาฟที่ 2 แห่งโครเอเชีย ซึ่งเป็นเชื้อพระวงศ์อิตาลีในราชวงศ์ซาวอย อย่างไรก็ตาม พระองค์มิเคยได้เสด็จไปยังโครเอเชียเลยสักครั้ง และรัฐบาลโครเอเชียก็ดำเนินไปภายใต้การบริหารของอันเต ปาเวลิช ผู้นำพรรคอุสตาเช อย่างไรก็ตามอิตาลีได้คงกำลังทหารไว้ตามแนวชายฝั่งของโครเอเชีย ซึ่งเป็นกำลังที่คอยควบคุมแอลเบเนียและมอนเตเนโกรด้วย ทำให้อิตาลีสามารถควบคุมทะเลอาเดรียติกได้อย่างสมบูรณ์ และเป็นการเติมเต็มหัวใจสำคัญของนโยบาย "Mare Nostrum" ของรัฐบาลฟาสซิสต์ ชบวนการอุสตาเชเป็นขุมกำลังที่ทรงคุณค่ายิ่งสำหรับอิตาลีและเยอรมนีเพราะช่องทางสำคัญที่จะใช้ตอบโต้ขบวนการกองโจรเชตนิคส์ของยูโกสลาเวีย (แม้ว่าขบวนการดังกล่าวนี้จะทำงานให้เยอรมนีและอิตาลีก็ตาม เพราะขบวนการนี้ไม่พอใจขบวนการอุสตาเชอย่างยิ่ง) และขบวนการคอมมิวนิสต์ปาร์ติซานชาวยูโกสลาฟภายใต้การนำของยอซีป บรอซ ตีโต ซึ่งต่อต้านการยึดครองยูโกสลาเวีย

ในปี ค.ศ. 1940 อิตาลีได้รุกเข้าสู่ราชอาณาจักรอียิปต์และถูกกองกำลังเครือจักรภพอังกฤษขับไล่ให้ต้องถอยมาอยู่ในลิเบียในเวลาไม่นานนัก กองทัพเยอรมันจึงได้ส่งกองทหารเข้ามาร่วมในกองทัพอิตาลีที่ลิเบียเพื่อป้องกันอาณานิคมไว้จากการรุกคืบของฝ่ายบริเตน หน่วยรบเยอรมันในกองทัพน้อยแอฟริกาของจอมพลเออร์วิน รอมเมล คือกำลังหลักในยุทธการผลักดันกองทัพบริเตนออกไปจากลิเบียและรุกเข้าสู่ใจกลางประเทอียิปต์ระหว่างปี ค.ศ. 1941 - 1942 ชัยชนะในอียิปต์ถูกยกย่องให้เป็นผลงานจากความเป็นเลิศในทางยุทธวิธีของจอมพลรอมเมลเกือบทั้งหมด ส่วนอิตาลีได้รับความสนใจจากสื่อเพียงเล็กน้อยเพราะความสำเร็จของพวกเขาผูกติดไว้กับประสบการณ์และอาวุธชั้นเลิศของกองกำลังของจอมพลรอมเมล จากทัศนะของทางการอิตาลีในช่วงปี ค.ศ. 1942 อิตาลีสามารถควบคุมดินแดนในแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียนได้เป็นจำนวนมาก เมื่อรัฐบาลฝรั่งเศสวิชีล่มสลาย อิตาลีก็ได้เข้าควบคุมเกาะคอร์ซิกา (ซึ่งเป็นเกาะที่มีประชากรเป็นคนเชื้อสายฝรั่งเศสและอิตาลี) นีซ และดินแดนบางส่วนในทางตะวันตกเฉียงใต้ของฝรั่งเศส ทั้งยังได้ตรวจตราการยึดครองทางทหารในจุดสำคัญทางทหารในตอนใต้ของประเทศฝรั่งเศสอีกด้วย แต่ถึงแม้เอกสารของทางอิตาลีจะอ้างความสำเร็จดังกล่าว แต่แท้จริงแล้วสิ่งที่เรียกว่า "จักรวรรดิอิตาลี" ในปี ค.ศ. 1942 ก็เป็นเพียงเสือกระดาษเท่านั้น ทั้งนี้เพราะเศรษฐกิจอิตาลีประสบกับภาวะชะงักงันจากการสร้างเงื่อนไขสงคราม และเมืองต่างๆ ในอิตาลีล้วนถูกฝ่ายสัมพันธมิตรทิ้งระเบิดใส่ตลอดเวลา และเช่นเดียวกันที่แม้ว่าจอมพลรอลเมลจะสามารถรุกคืบได้ในปี ค.ศ. 1941 และช่วงต้น ค.ศ. 1942 แต่ในช่วงปลายของปี ค.ศ. 1942 นั้นเอง การเปิดสงครามในแอริกาเหนือก็เริ่มประสบความหายนะ และจะพินาศลงอย่างสมบูรณ์ในปี ค.ศ. 1943 เมื่อกองทัพเยอรมนีและอิตาลีล่าถอยจากแอฟริกาเหนือไปยังเกาะซิซิลี

ลุถึงปี ค.ศ. 1943 อิตาลีประสบความล้มเหลวในทุกแนวรบ เริ่มตั้งแต่ในเดือนมกราคม กองทัพอิตาลีต้องสูญเสียรถถังที่ปฏิบัติการในแนวรบด้านตะวันออกถึงกี่งหนึ่ง ของทั้งหมด[130] การทำสงครามทวีปแอฟริกาประสบกับความพินาศ สถานการณ์ในคาบสมุทรบอลข่านยังคงไร้เสถียรภาพ และชาวอิตาลีเองก็ต้องการยุติสงครามลงเสียที[131] พระเจ้าวิคเตอร์ เอ็มมานูเอลที่ 3 ถึงกับต้องทรงร้องขอให้เคานท์ชิอาโนเข้าเจรจากับมุสโสลินีเพื่อให้มุสโสลินีเริ่มเปิดการเจรจากับฝ่ายสัมพันธมิตร[130] ถึงกลางปี ค.ศ. 1943 ฝ่ายสัมพันธมิตรได้เริ่มการบุกเกาะซิชิลี เพื่อขจัดอิตาลีออกไปจากสงครามและเริ่มยาตราทัพสู่ทวีปยุโรป โดยสามารถยกพลขึ้นบกได้โดยง่ายเนื่องจากมีกำลังของอิตาลีต้านทานอยู่เพียง เล็กน้อย สถานการณ์ได้เปลี่ยนแปลงไปเมื่อกองทัพสัมพันธมิตรมุ่งตรงเข้าโจมตีทัพ ของเยอรมนีซึ่งยังคงกำลังในอิตาลีไว้บางส่วนก่อนที่เกาะซิซีลีจะตกเป็น ของฝ่ายสัมพันธมิตร การรุกรานของสัมพันธมิตรได้ทำให้ความอยู่รอดของมุสโสลินี และระบอบของเขาต้องขึ้นอยู่กับกำลังของกองทัพเยอรมนีซึ่งปกป้องเข้าอยู่ใน เวลานั้น ฝ่ายสัมพันธมิตรได้รุกคืบต่อไปอย่างรวดเร็วทั่วอิตาลี โดยพบการต่อต้านเพียงเล็กน้อยจากทหารอิตาลีที่กำลังขวัญเสีย ขณะเดียวกันก็ต้องเผชิญกับการต้านทานอย่างหนักจากกองทัพนาซีเยอรมนี

ใกล้เคียง

ราชอาณาจักรอิตาลี ราชอาณาจักรฮังการี (ค.ศ. 1920–1946) ราชอาณาจักรยูโกสลาเวีย ราชอาณาจักรกัมพูชา (พ.ศ. 2496–2513) ราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ ราชอาณาจักรโรมาเนีย ราชอาณาจักรลิเบีย ราชอาณาจักรปรัสเซีย ราชอาณาจักรนาวาร์ ราชอาณาจักรมาเกโดนีอา

แหล่งที่มา

WikiPedia: ราชอาณาจักรอิตาลี http://www.axishistory.com/index.php?id=37 http://www.germaniainternational.com/images/bookgi... http://www.germaniainternational.com/images/bookgi... http://books.google.com/books?id=MTWM6PjNvBMC&pg=P... http://www.spiritus-temporis.com/june-1934/ http://www.law.fsu.edu/library/collection/Limitsin... http://greatoceanliners.net/rex.html http://historicalresources.org/2008/09/17/mussolin... http://historicalresources.org/2008/09/19/mussolin... http://www.royin.go.th/th/webboardnew/answer.php?G...